
ดร. ซาเมียร์ คาอุล
ในช่วงเวลาของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ อินเดียยังคงต้องต่อสู้เพื่อการสาธารณสุขต่อไปในหลายทิศทาง สำหรับประเทศที่ใช้จ่ายเพื่อการสาธารณสุขเพียง 1.3% ของ GDP ตัวเลขผู้เสียชีวิตจากโรคมะเร็งในอินเดียนั้นเพิ่มเพิ่มสูงขึ้นอย่างน่าตกใจ ในปี พ. ศ. 2561 อินเดียกลายเป็นผู้บริโภคยาสูบรายใหญ่เป็นอันดับสองของโลก โดยในแต่ละปีมีผู้คนกว่า 1.35 ล้านคนเสียชีวิตจากโรคที่เกิดจากยาสูบ
มะเร็งชนิดที่พบมากที่สุดชนิดหนึ่งในอินเดียคือมะเร็งปอด โดยมีสัดส่วนถึง 5.9% ของผู้ป่วยมะเร็งรายใหม่ที่ได้รับการวินิจฉัยในประเทศ การบริโภคยาสูบเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดโรคในผู้ป่วยมะเร็งปอดเกือบ 95% และทำให้เกิดปัญหาสุขภาพที่รุนแรงอื่น ๆ อีกด้วย
การศึกษาของสมาคมโรคมะเร็งอเมริกัน (American Cancer Society) ได้พิสูจน์แล้วว่าผลิตภัณฑ์ยาสูบแบบเผาไหม้เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดโรคมะเร็ง น่าเสียดายที่แม้ว่าจะมีมาตรการควบคุมยาสูบหลายฉบับ แต่อินเดียไม่สามารถลดการบริโภคได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้
ปริมาณบุหรี่ลดลงเพียงร้อยละ 2.2 ต่อปีในอินเดียแม้ราคาจะเพิ่มสูงขึ้น 3.5 เท่าในช่วงแปดปีที่ผ่านมา
วิกฤตยาสูบแบบหลายชั้นของอินเดียขยายตัวมาจากการมีอยู่ทั่วไปของผลิตภัณฑ์บุหรี่ราคาถูกไปจนถึงความคร่ำครึของกฎระเบียบที่เอื่อยเฉื่อย ตั้งแต่การผลิตจนถึงการผลิตในอุตสาหกรรม การบริโภคไปจนถึงการส่งออก การต่อสู้กับยาสูบของอินเดียนั้นเกิดจากนโยบายด้านกฎระเบียบที่อ่อนแอ ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ อินเดียต้องการนโยบายที่ได้รับการสนับสนุนจากหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่มีประสิทธิภาพเพื่อจัดการกับภัยคุกคามจากยาสูบ เราต้องปฏิรูปกฎระเบียบซึ่งสนับสนุนการศึกษาที่อ้างอิงจากหลักฐานเพื่อนำมาใช้ในการหาแนวทางแก้ไขที่สร้างผลลัพธ์ได้จริง
หันหน้าเข้าหาวิทยาศาสตร์เพื่อหาวิธีแก้ปัญหา
สิ่งสำคัญคือเราจะต้องเข้าใจรูปแบบพฤติกรรมและการดำเนินชีวิตของผู้ป่วยในการที่จะแก้ไขปัญหานี้ บุหรี่ทำให้ผู้สูบรับเอาส่วนผสมอันตรายของสารเคมี สารก่อมะเร็งและสารที่เป็นพิษต่อทางเดินหายใจอันเป็นผลจากการเผาไหม้ของยาสูบ การสูบบุหรี่ทำลายทางเดินหายใจและถุงลมในปอด ทำให้เกิดมะเร็งปอดและโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD) ซึ่งรวมถึงภาวะอาการของปอด เช่น ถุงลมโป่งพอง หลอดลมอักเสบเรื้อรังและการอักเสบของปอด ถึงแม้ว่านิโคตินที่สูดดมจากการสูบยาสูบจะสารที่เสพติดอย่างยิ่ง แต่สารพิษและสารก่อมะเร็งหลัก ๆ ในควันบุหรี่ต่างหากที่เป็นตัวการที่ก่อให้เกิดการเจ็บป่วยและเสียชีวิต ไม่ใช่นิโคติน
หากเราบันทึกประวัติของการรณรงค์ต่อต้านยาสูบตั้งแต่การขึ้นภาษีไปจนถึงกลยุทธ์ที่เน้นการเลิกบุหรี่ ความพยายามนับไม่ถ้วนนั้นลดจำนวนผู้สูบบุหรี่ได้ไม่สำเร็จ วิธีการแก้ปัญหาการบริโภคยาสูบมักถูกจำกัดอยู่ที่คำเดียวคือให้ ‘เลิก’ ถึงแม้จะไม่มีใครที่ปฏิเสธได้ว่าการเลิกสูบบุหรี่อาจเป็นผลลัพธ์น่าพึงพอใจที่สุดในการปกป้องสุขภาพของผู้สูบบุหรี่ แต่เราจะทำอย่างไรกับผู้ที่ไม่สามารถเลิกบุหรี่ได้ล่ะ คำตอบก็คือวิธีการแก้ปัญหาที่อ้างอิงตามหลักฐาน
คุณจะทำอย่างไรเมื่อคุณไม่สามารถเลิกบุหรี่ได้?
ในกรณีของผู้สูบบุหรี่ระยะยาวที่มีการพึ่งพานิโคติน การเลิกสูบบุหรี่อาจไม่ใช่ทางเลือกที่ทำได้เสมอไป สำหรับคนที่สูบบุหรี่มานานหลายปี นโยบาย ‘เลิกสูบบุหรี่’ แบบเดิมๆ นั้นช่วยพวกเขาแทบไม่ได้เลย ในกรณีส่วนใหญ่ผู้คนไม่มีความมุ่งมั่นที่จะเลิก เราต้องใช้กลยุทธ์ลดความเสี่ยงจากยาสูบ (Tobacco Harm Reduction: THR) ซึ่งเกี่ยวข้องกับการใช้แหล่งนิโคตินทางเลือก THR ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางจากหลายประเทศเพื่อลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้ยาสูบ
จุดประสงค์คือเพื่อดูหลักฐานทางวิทยาศาสตร์และเจาะลึกลงไปในวิธีแก้ปัญหาที่ได้ผลในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ยกตัวอย่างเช่น ระบบการให้นิโคตินแบบอิเล็กทรอนิกส์หรือ ENDS ซี่งเป็นแหล่งนิโคตินทางเลือกและช่วยให้ผู้ใช้ลดการสัมผัสกับสารทาร์ สารก่อมะเร็งและสารพิษต่าง ๆ ที่พบในควันบุหรี่
ทำความเข้าใจกับบุหรี่อิเล็กทรอนิกส์หรือบุหรี่ไฟฟ้า
เป็นที่ทราบกันว่ามีผู้ที่แยกความแตกต่างไม่ได้ระหว่างบุหรี่อิเล็กทรอนิกส์และบุหรี่ยาสูบที่เผาไหม้ได้ ซึ่งเป็นผลให้ผลิตภัณฑ์ทั้งสองอย่างมักถูกวางไว้ภายใต้ข้อจำกัดเดียวกัน นอกจากนี้ยังมีความพยายามในการจัดกลุ่มให้บุหรี่อิเล็กทรอนิกส์เป็นผลิตภัณฑ์ยาสูบเนื่องจากนิโคตินสกัดมาจากยาสูบ การตัดสินใจนี้ไม่สมเหตุสมผลและไม่เป็นไปตามพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์
ความชุกของการสูบบุหรี่ลดลงอย่างรวดเร็วในประเทศที่ใช้หลักการลดความเสี่ยงจากยาสูบ รวมถึงประเทศที่มีการกำกับควบคุมผลิตภัณฑ์ ENDS ควบคู่กับนโยบายการควบคุมยาสูบที่มีอยู่
แม้ว่าจะยังคงมีการถกเถียงกันทั่วโลกเกี่ยวกับผลกระทบด้านความปลอดภัยและสุขภาพของผลิตภัณฑ์ ENDS แต่ก็มีหลักฐานที่เพียงพอจะแสดงให้เห็นว่าผลิตภัณฑ์เหล่านี้เป็นอันตรายน้อยกว่าบุหรี่อย่างมีนัยสำคัญ สหราชอาณาจักรและแคนาดารวมถึงรัฐบาลหลายประเทศในโลกตระหนักถึงผลกระทบเชิงลบต่อสุขภาพจากการสูบบุหรี่และได้ปฏิบัติให้สอดคล้องกับข้อตระหนักดังกล่าวมานานแล้ว อย่างไรก็ตามพวกเขามองว่าผลิตภัณฑ์ ENDS เป็นวิธีการในเชิงบวกที่จะช่วยแก้ปัญหาวิกฤติสุขภาพของประชาชนผ่านการใช้กฎเกณฑ์ที่รอบคอบแทนที่จะห้ามซื้อขายผลิตภัณฑ์นี้โดยสิ้นเชิง จากข้อมูลของ NHS อัตราการสูบบุหรี่ของสหราชอาณาจักรและการเสียชีวิตที่เกี่ยวข้องกับยาสูบปัจจุบันนี้อยู่ในระดับที่ต่ำที่สุดและยังลดลงต่อไปเรื่อย ๆ (ที่มา: NHS, UK)
สาธารณสุขอังกฤษแนะนำอย่างแข็งขันให้ผลิตภัณฑ์ ENDS เป็นทางเลือกสำหรับผู้สูบบุหรี่วัยผู้ใหญ่ที่กำลังต้องการจะเลิกบุหรี่ เพราะจากการวิจัยแสดงให้เห็นว่าผลิตภัณฑ์นี้อันตรายน้อยกว่าการสูบบุหรี่แบบดั้งเดิมถึง 95%
ความจริงแล้วในบางประเทศ เช่น นิวซีแลนด์ไปไกลเกินกว่าแค่การออกกฎระเบียบเพียงอย่างเดียวแล้ว โดยได้มีการเปิดโครงการเพื่อแจ้งให้ประชาชนทราบถึงประโยชน์และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการสูบไอ ในการดำเนินการตามเป้าหมายที่จะทำให้นิวซีแลนด์ไร้ควันบุหรี่ภายในปี 2568 กระทรวงสาธารณสุขได้เปิดตัวแคมเปญและเว็บไซต์ (ชื่อว่า Vaping Facts) เพื่อแจ้งให้ผู้สูบบุหรี่ทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ ENDS และสนับสนุนให้พวกเขาเปลี่ยนจากสูบบุหรี่มาใช้ผลิตภัณฑ์นี้แทน เว็บไซต์ยังอธิบายถึงความเชื่อบางประการเกี่ยวกับการสูบไอและบอกให้พวกเขาทราบว่าการเปลี่ยนมาใช้ผลิตภัณฑ์นี้จะช่วยจำกัดการสัมผัสกับสารพิษ ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจและปอด (รวมถึงโรคมะเร็ง) และไม่มีผลกระทบต่อสุขภาพของคนข้างเคียง
จุดยืนของอินเดียในเรื่องนี้เป็นอย่างไรบ้าง?
ในประเทศของเรา รัฐบาลอนุญาตให้ขายบุหรี่โดยไม่มีการตรวจสอบใด ๆ ผ่านร้านค้าในท้องถิ่นที่พบเห็นได้ทุก ๆ 100 เมตรซึ่งขายดีมาก ขายให้กับเด็กและเยาวชนโดยไม่มีการขอดูบัตรประจำตัว แต่ประเทศเราก็ยังอยากจะห้ามซื้อขายบุหรี่อิเล็กทรอนิกส์ ทั้งที่มันจะช่วยให้ผู้สูบบุหรี่อยู่ห่างจากสารก่อมะเร็งที่มาจากการเผาไหม้ อีกทั้งยังเป็นทางเลือกให้แก่ผู้สูบบุหรี่ได้
น่าเสียดายที่การห้ามซื้อขายผลิตภัณฑ์ไม่ว่ารูปแบบใดก็มีผลกระทบเชิงลบมหาศาลโดยไม่ได้ตั้งใจนอกจากจะเป็นการแก้ปัญหาที่ไม่ได้ผลแล้ว การห้ามซื้อขายผลิตภัณฑ์เหล่านี้ยังผลักดันให้เกิดตลาดใต้ดินและเพิ่มแนวโน้มในการจัดหาและครอบครองอย่างผิดกฎหมาย ซึ่งนำไปสู่การสูญเสียรายได้ของรัฐ การสูญเสียการจ้างงานและการครองชีพ เพิ่มการทุจริตและท้ายที่สุดก็ทำร้ายผู้คนที่กฎระเบียบนี้ต้องการปกป้อง เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการบังคับใช้กฎหมายสูงกว่าประโยชน์ของการห้ามซื้อขายผลิตภัณฑ์ดังกล่าว
เรื่องเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพมีความซับซ้อน วิธีการแก้ไขปัญหาความท้าทายมากมายเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพก็ซับซ้อนเช่นกัน เราต้องการวิธีแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์เพื่อเร่งความพยายามในการแก้ปัญหายาสูบ เมื่อคุณรักษาผู้ป่วยที่ติดบุหรี่ วิธีการแบบ “ถ้าไม่เลิกก็ต้องตาย” จะทำให้แย่ลงมากกว่าที่จะช่วยพวกเขา เราต้องพิจารณาถึงประสิทธิภาพของทางเลือกที่ช่วยลดความเสี่ยง คงจะเสียเวลาเปล่าหากเราคาดหวังว่าผู้ที่ติดยาสูบจะเลิกบุหรี่โดยไม่ให้ทางเลือกที่พวกเขาพึ่งพาได้ เราต้องเข้าถึงศักยภาพอันยิ่งใหญ่ในการใช้ทางเลือกที่ได้ผลเพื่อลดภาระด้านยาสูบและปรับปรุงตัวชี้วัดด้านสุขภาพในประเทศ
(ดร. ซาเมียร์ คาอุล ที่ปรึกษาอาวุโสด้านมะเร็งวิทยาและหุ่นยนต์ ประจำสถาบันมะเร็ง Apollo กรุงนิวเดลี)
https://fit.thequint.com/cancer/smoking-cancer-and-tobacco-in-india
More Stories
ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า ควรให้ความสำคัญกับการเข้าถึงบุหรี่ไฟฟ้ามากกว่าการห้ามสูบบุหรี่
แนวทางการลดความเสี่ยงในการควบคุมยาสูบ
นักเคลื่อนไหวบุหรี่ไฟฟ้ายกย่องกฎหมายบุหรี่ไฟฟ้าใหม่ในฟิลิปปินส์