
บทสรุป
“ข้อสรุปของรายงานฉบับต่าง ๆ ก่อนหน้านี้ของเรายังคงเป็นข้อมูลที่สำคัญสำหรับการป้องกันอันตรายจากยาสูบ ซึ่งสรุปได้กว้าง ๆ ดังนี้:
- ผลิตภัณฑ์สูบไอนิโคตินที่ได้รับการควบคุมตามกฎระเบียบ มีความเสี่ยงเพียงเศษเสี้ยวของการสูบบุหรี่ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันปลอดภัย
- ผู้สูบบุหรี่ควรได้รับการสนับสนุนให้ลองใช้ผลิตภัณฑ์สูบไอนิโคตินที่ได้รับการควบคุมตามกฎระเบียบ พร้อม ๆ กับการใช้ยาเลิกบุหรี่และแผนช่วยเหลือเพื่อการปรับพฤติกรรม ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสในการเลิกบุหรี่ได้สำเร็จ
- คนที่ไม่เคยสูบบุหรี่มาก่อนเลย ควรได้รับการสนับสนุนให้ไม่ริเริ่มสูบบุหรี่หรือสูบไอ
- ผู้สูบไอควรได้รับการส่งเสริมให้ใช้ผลิตภัณฑ์นิโคตินที่ที่ได้รับการควบคุมตามกฎระเบียบเท่านั้นและเลิกสูบบุหรี่โดยสิ้นเชิง” [1]
คำพูดและหลักฐานที่เป็นประโยชน์
PHE ย้ำถึงเหตุผลในการลดอันตรายที่ชัดเจนสำหรับการสูบไอ
“แม้ว่าความชุกของการสูบบุหรี่จะลดลง แต่การสูบบุหรี่ยังคงเป็นสาเหตุใหญ่สาเหตุเดียวของการเสียชีวิตและโรคที่ป้องกันได้ และเป็นสาเหตุสำคัญของความไม่เท่าเทียมทางสุขภาพ ดังนั้นอุปกรณ์ให้นิโคตินแบบทางเลือกที่เป็นอันตรายน้อยกว่าสามารถเข้าไปมีบทบาทสำคัญในการลดภาระด้านสุขภาพนี้”[2]
การสูบไอไม่ได้เพิ่มจำนวนผู้สูบบุหรี่
“ข้อมูลที่นำเสนอในที่นี้ชี้ให้เห็นว่าการสูบไอไม่ได้บั่นทอนการลดลงของจำนวนผู้สูบบุหรี่วัยผู้ใหญ่” [3]
“การสูบไอยังคงเป็นพฤติกรรมที่พบได้ทั่วไปในหมู่ผู้สูบบุหรี่และผู้ที่เคยสูบบุหรี่ในอดีต โดยมีเพียงไม่ถึง 1% ที่ไม่เคยสูบบุหรี่มาก่อนแต่กำลังสูบไออยู่ในปัจจุบัน” [4]
การสูบไอในหมู่เยาวชนนั้นอยู่ในระดับต่ำและคงที่ในสหราชอาณาจักร
“ไม่มีการสำรวจใดที่รายงานว่าความชุกในการสูบไอนั้นเพิ่มสูงขึ้น” [5]
“การสูบไอในปัจจุบันมีความแพร่หลายในหมู่คนหนุ่มสาวที่มีประสบการณ์ในการสูบบุหรี่ โดยมีเพียงไม่ถึง 1% ของเยาวชนอายุ 11-18 ปี ที่ไม่เคยสูบบุหรี่มาก่อนแต่เป็นกำลังสูบไอในปัจจุบัน” [6]
“ความชุกของการสูบไอในปัจจุบัน (ทุกสัปดาห์หรือไม่ถึงทุกสัปดาห์) ในหมู่เยาวชนในอังกฤษยังคงอยู่ในระดับที่ค่อนข้างคงที่” [7]
การสูบไอในหมู่เยาวชนในสหราชอาณาจักรไม่ได้เป็นปัญหาเหมือนในแคนาดาหรือสหรัฐอเมริกา (กล่าวคือ ข้อพิสูจน์ของสหราชอาณาจักรอยู่ในลักษณะที่รวมการสนับสนุนด้านการลดอันตรายจากยาสูบ (THR) เข้ากับกฎระเบียบที่เหมาะสม):
การเปรียบเทียบแบบข้ามประเทศเกิดอุปสรรคจากคำถามและวิธีการสำรวจที่ไม่สอดคล้องตรงกัน
แต่มีงานศึกษาวิจัยชิ้นหนึ่งที่เปรียบเทียบการสูบไอในหมู่เยาวชนอายุ 16-19 ปี ในช่วงปี 2017-2018 โดยใช้วิธีการที่สอดคล้องตรงกันพบว่าการสูบไอในอังกฤษอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าแคนาดาและสหรัฐอเมริกา[8]
“การศึกษาของแฮมมอนด์และคณะโดยใช้ข้อมูลสุ่มเก็บครั้งเดียวในช่วงเวลาด้วยกัน (Cross-sectional data) จากอังกฤษ แคนาดาและสหรัฐอเมริการะหว่างปี 2017 ถึงปี 2018 [64] พบว่าการสูบไอเพิ่มขึ้นอย่างมาก (ในระยะ 30 วันที่ผ่านมา, ในสัปดาห์ที่ผ่านมาและในช่วง 15 วันขึ้นไปในเดือนที่ผ่านมา) ในแคนาดาและสหรัฐอเมริการะหว่างปี 2017 ถึงปี 2018 ในขณะที่การสูบไอในอังกฤษไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ (สอดคล้องกับหลักฐานที่แสดงในบทนี้) เป็นเรื่องน่าวิตกเพราะในแคนาดามีผู้สูบไอเพิ่มมากขึ้นในสัปดาห์ที่ผ่านมาในหมู่ผู้ที่ไม่เคยสูบบุหรี่มาก่อน ส่วนการใช้ผลิตภัณฑ์ JUUL นั้นเพิ่มมากขึ้นในทั้ง 3 ประเทศ โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาและแคนาดา” [9]
ข้อมูลที่ผิดซึ่งกล่าวว่าการสูบไอบ่อนทำลายเป้าหมายทางสาธารณสุข
“การรับรู้ที่ไม่ถูกต้องเกี่ยวกับอันตรายของการสูบไอ ซึ่งขยายวงกว้างขึ้นในหมู่ประชาชนอาจทำให้ผู้สูบบุหรี่บางรายไม่เลือกใช้ผลิตภัณฑ์สูบไอเพื่อเลิกบุหรี่”[10]
หมายเหตุ: ในปี 2019 ราว 34.4% ของผู้สูบบุหรี่คิดว่าการสูบไอนั้นเป็นอันตรายน้อยกว่าบุหรี่ ซึ่งเป็นตัวเลขที่ลดลงจากปี 2014 ที่มีผู้สูบบุหรี่ถึง 45.2% ที่คิดเช่นนี้ สัดส่วนของผู้สูบบุหรี่ที่คิดว่าการสูบบุหรี่และการสูบไอเป็นอันตรายพอ ๆ กัน เพิ่มขึ้นจาก 26.1% ในปี 2014 เป็น 41.8% ในปี 2019 โปรดดูแผนภูมิด้านล่าง [11]
รสชาติเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้ผู้สูบบุหรี่เลิกบุหรี่ และไม่ใช่แรงผลักดันหลักที่ทำให้เยาวชนสูบไอ
“การห้ามใช้น้ำยาแบบปรุงแต่งรสชาติอาจมีผลกระทบและผลที่ไม่พึงประสงค์ต่อผู้สูบบุหรี่ที่ใช้ผลิตภัณฑ์สูบไอเพื่อเลิกบุหรี่ ข้อนี้ควรมีการพิจารณาอย่างรอบคอบ”[12]
“ผู้ที่สูบไอกล่าวว่าการห้ามใช้น้ำยาแบบปรุงแต่งรสชาติจะทำให้พวกเขาเปลี่ยนใจและไม่ใช้ผลิตภัณฑ์สูบไอเพื่อช่วยเลิกบุหรี่หรือลดปริมาณการสูบบุหรี่ นอกจากนี้ยังสามารถผลักดันให้ผู้สูบไอในปัจจุบันหันไปใช้ผลิตภัณฑ์ที่ผิดกฎหมายอีกด้วย”[13]
รสชาติไม่ถือเป็นปัจจัยผลักดันหลักที่ทำให้เยาวชนในสหราชอาณาจักรทดลองสูบไอ แม้ว่า 10.4% ของผู้ที่ไม่เคยสูบบุหรี่จะลองสูบไอเพราะรสชาติก็ตาม แต่ปัจจัยที่สำคัญกว่านั้นคือการ “แค่ลองสูบดู” (70.6% ระบุเหตุผลนี้) และ “เห็นคนอื่นใช้ ฉันเลยใช้บ้าง” (10.9% ระบุเหตุผลนี้) [14]
กรณีการเจ็บป่วยที่เกี่ยวข้องกับการสูบไอ (EVALI)
“การเจ็บป่วยโรคเกี่ยวกับปอดและการเสียชีวิตในสหรัฐอเมริกาไม่ได้เกิดจากผลิตภัณฑ์สูบไอนิโคตินที่มีการกำกับดูแลตามกฎระเบียบ ซึ่งมีการวางจำหน่ายในอังกฤษในปัจจุบัน” [15]
“ควรหมายเหตุไว้ว่าในอังกฤษ สารเตตร้าไฮโดรแคนนาบินอล (THC) เป็นสิ่งต้องห้ามและวิตามินอี (เช่นเดียวกับวิตามินอื่น ๆ) ก็ถูกห้ามใช้ในผลิตภัณฑ์สูบไอนิโคตินที่มีการกำกับดูแลตามกฎระเบียบ” [16]
การสูบไอเป็นเครื่องมือช่วยเลิกบุหรี่ที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด
“ข้อมูลจากหน่วยงานสนับสนุนเพื่อการเลิกบุหรี่ในอังกฤษชี้ให้เห็นว่าเมื่อมีการใช้ผลิตภัณฑ์สูบไอในกระบวนการเลิกบุหรี่ ไม่ว่าจะใช้ผลิตภัณฑ์นี้อย่างเดียวหรือใช้ร่วมกับยาที่ได้รับใบอนุญาต อัตราการเลิกบุหรี่สำเร็จจะเทียบเท่ากับยาที่ได้รับใบอนุญาตหรืออาจจะสูงกว่า ซึ่งตรงกับข้อมูลในปีที่ผ่าน ๆ มา” [17]
โปรดหมายเหตุไว้ว่าคำพูดนี้เป็นแนวคิดที่ค่อนข้างอนุรักษ์นิยม แผนภูมิด้านล่าง (จากหน้า 101 ของรายงาน PHE) แสดงให้เห็นว่าการสูบไอนั้นมีประสิทธิภาพมากกว่ายาที่ได้รับใบอนุญาต อย่างไรก็ดี จะยังคงมีการใช้ยาที่มีใบอนุญาตสำหรับบริการช่วยเหลือเพื่อการเลิกบุหรี่ที่คลินิกเลิกบุหรี่สาธารณะต่อไป
ความวิตกกังวลที่อาจมี
ผู้ที่ไม่เคยสูบบุหรี่มาก่อนจะสูบไอเพิ่มมากขึ้น
สัดส่วนที่เพิ่มขึ้นของผู้สูบไอนั้นไม่ใช่ผู้ที่ไม่เคยสูบบุหรี่มาก่อน PHE ไม่ได้กังวลจนเกินควรเกี่ยวกับเรื่องนี้เนื่องจากสัดส่วนยังค่อนข้างน้อย (7.1% ในปี 2019 เทียบกับ 5.7% ในปี 2018 จากกลุ่มตัวอย่างขนาดเล็กในชุดข้อมูลชุดเดียว) [18] PHE หมายเหตุว่าการเพิ่มขึ้นของสัดส่วนของผู้สูบไอที่ไม่เคยสูบบุหรี่มาก่อนยังสะท้อนให้เห็นถึงสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นของผู้ที่ไม่เคยสูบบุหรี่ในกลุ่มประชากรทั่วไปอีกด้วย PHE กล่าวเพิ่มเติมว่าจำเป็นต้องมีการวิจัยเพิ่มเติมเพื่อทำความเข้าใจว่าการสูบไอโดยที่ไม่เคยสูบบุหรี่มาก่อนมีแนวโน้มที่จะเพิ่มการใช้นิโคตินในหมู่ประชากรหรือป้องกันไม่ให้คนเริ่มสูบบุหรี่
ประตูไปสู่การสูบบุหรี่และการทดลองใช้ในหมู่เยาวชนที่เพิ่มมากขึ้นในหมู่ผู้ไม่เคยสูบบุหรี่มาก่อน
ผู้สูบไอที่เป็นเยาวชนในสหราชอาณาจักรซึ่งลองสูบไอโดยที่ไม่ได้เป็นผู้ที่สูบบุหรี่มาก่อนมีจำนวนร้อยละที่เพิ่มขึ้น การสูบบุหรี่โดยที่สูบไอมาก่อนก็มีจำนวนร้อยละที่เพิ่มขึ้นด้วย ซึ่งผู้สนับสนุน ‘ทฤษฎีประตูไปสู่การสูบบุหรี่ (Gateway Theory) ’ อาจนำข้อมูลนี้ไปใช้
สูบบุหรี่แล้วมาสูบไอ | สูบไอแล้วมาสูบบุหรี่ | สูบไอแต่ไม่เคยสูบบุหรี่ | |
2014 | 70 | 7.5 | 18.8 |
2016 | 44.7 | 30 | |
2019 | 47.6 | 17.8 | 28.9 |
ดูหน้า 48 ในรายงาน PHE
นอกจากนี้ยังมีการอ้างอิงโดยสังเขปเกี่ยวกับการเพิ่มจำนวนของเยาวชนที่สูบบุหรี่ในแคนาดา (อย่างมีนัยสำคัญ) และสหราชอาณาจักร (เล็กน้อย) ในขณะที่สหรัฐฯ ไม่เห็นการเปลี่ยนแปลง:
“การสูบบุหรี่เพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในแคนาดา เพิ่มขึ้นเล็กน้อยในอังกฤษในหมู่ผู้สูบบุหรี่เป็นประจำ (ไม่พบในข้อมูลที่รายงานในบทนี้) โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงในสหรัฐอเมริกา” [19]
ความเห็นหนึ่งกล่าวโดยนัยว่าสหราชอาณาจักรมีความคืบหน้าในการลดจำนวนผู้สูบบุหรี่ในหมู่เยาวชนตั้งแต่ปี 2014 เพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลย (แม้จะประสบความสำเร็จอย่างมากในการลดจำนวนผู้สูบบุหรี่วัยผู้ใหญ่) นับตั้งแต่การสูบไอเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วในสหราชอาณาจักรตั้งแต่ปี 2012 ผู้สนับสนุนทฤษฎีประตูไปสู่การสูบบุหรี่ในต่างประเทศอาจโต้เถียงว่าการสูบไอของเยาวชนกำลังบ่อนทำลายความสำเร็จในการควบคุมยาสูบของสหราชอาณาจักร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่ของอัตราการสูบบุหรี่ของเยาวชน
“ความชุกของการสูบบุหรี่ในปัจจุบัน (ทุกสัปดาห์หรือน้อยกว่าทุกสัปดาห์) ในหมู่เยาวชนอายุระหว่าง 11-15 ปี ลดลงครึ่งหนึ่งในระหว่างปี 2009 (11%) กับ 2018 (5%) แต่จากนั้นก็คงค่อนข้างคงที่ตั้งแต่ปี 2014” [20]
PHE ไม่มีข้อมูลมากพอที่จะวิเคราะห์เกี่ยวกับการสูบไอของเยาวชนนอกสหราชอาณาจักรและอเมริกาเหนือ:
“สำหรับประเทศอื่น ๆ ทั้งหมด [ยกเว้นสหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกา] มีงานวิจัยเพียง 7 ชิ้นงานเท่านั้นที่มีรายงานเกี่ยวกับความชุกของการสูบไอในหมู่เยาวชน (ตารางที่ 7) แฮมมอนด์และคณะนำเสนอข้อมูลจากแคนาดาและอังกฤษ (รวมทั้งสหรัฐอเมริกา) [64] การศึกษา 2 ชิ้นงานนำเสนอข้อมูลความชุกของการสูบไอในเยอรมนี [65, 66], 2 ชิ้นงานสำหรับเม็กซิโก [67, 68] และจีน [69] และเกาหลีใต้ [ 70] อย่างละหนึ่งชิ้นงาน การใช้งานในปัจจุบัน หรือในช่วง 30 วันที่ผ่านมานั้นพบว่ามีจำนวนสูงสุดในหมูเยาวชนอายุ 16-19 ปีในแคนาดา ในอัตรา 14.6% ในปี 2018 [64] และต่ำสุดในหมู่เยาวชนอายุ 12-12 ปีในเม็กซิโก ในอัตรา 1.1% ในการศึกษาวิจัยที่ใช้ข้อมูลจากปี 2016 ” [21]
การกีดกันยาสูบแบบให้ความร้อน
แม้ว่า PHE จะเป็นผู้นำในการสนับสนุนแนวทางการลดอันตรายจากยาสูบ แต่ทางหน่วยงานยังคงมีความเคลือบแคลงอย่างมากเกี่ยวกับบทบาทของอุตสาหกรรมยาสูบในการลดอันตรายจากยาสูบ (THR) รายงานดังกล่าวได้ลงหมายเหตุไว้อย่างรอบคอบว่าผลิตภัณฑ์สูบไอจำนวนสองในสามที่มีในสหราชอาณาจักรนั้นผลิตโดยบริษัทอิสระ นโยบายสาธารณสุขของสหราชอาณาจักร “ได้รับการจัดอันดับว่าดีที่สุดในด้านการต่อต้านการแทรกแซงจากอุตสาหกรรมยาสูบ” [22]
การเป็นฝ่ายตรงข้ามในเชิงอุดมการณ์กับอุตสาหกรรมนี้ และความอ่อนไหวต่อการวิจารณ์ท่าทีเกี่ยวกับ THR และบุหรี่อิเล็กทรอนิกส์ของ PHE มีแนวโน้มที่จะทำให้หน่วยงานนี้ระมัดระวังเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ยาสูบแบบให้ความร้อน (HTP) การใช้ HTP ที่ต่ำในสหราชอาณาจักรทำให้ PHE ไม่สนใจยาสูบประเภทนี้ และมุ่งเน้นไปที่บุหรี่อิเล็กทรอนิกส์แทน (อย่างน้อยก็เป็นเช่นนั้นในขณะนี้) ในเอกสารทบทวนในปี 2018 PHE เตือนว่า: “ เนื่องจากตลาดบุหรี่อิเล็กทรอนิกส์ที่หลากหลายและอิ่มตัวในสหราชอาณาจักร อีกทั้งปัจจุบันยังไม่เป็นที่ชัดเจนว่าผลิตภัณฑ์ยาสูบแบบให้ความร้อนจะให้ประโยชน์ใด ๆ ในฐานะผลิตภัณฑ์ลดอันตรายที่อาจเพิ่มเติมเข้ามาในตลาด” [23]
เหตุผลที่คล้ายกันนี้อาจจะอธิบายได้ว่าทำไมทางหน่วยงานจึงกล่าวถึง JUUL ในรายงานด้วย เป็นเพราะ PHE พยายามที่จะบรรเทาความกลัวในการสูบไอ และแยกแยะความแตกต่างของสิ่งที่เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกา การใช้ JUUL ในสหราชอาณาจักรที่ต่ำนั้นเป็นการตอกย้ำการบอกเล่าและประเด็นที่ว่าการสูบไอของเยาวชนในสหราชอาณาจักรไม่ใช่ปัญหาสำคัญ
PHE อธิบายในรายงานปี 2020 ว่า:
“การใช้ JUUL และผลิตภัณฑ์ยาสูบแบบให้ความร้อนยังคงต่ำกว่า 1.5% ในหมู่ผู้สูบบุหรี่และผู้ที่เคยสูบบุหรี่มาก่อน อย่างไรก็ดีถือเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องหมายเหตุไว้ว่า JUUL เข้ามาในสหราชอาณาจักรตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2018 โดยในการสำรวจการศึกษาชุดอุปกรณ์การสูบบุหรี่ (STS) ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมามีผู้เข้าร่วมการสำรวจเพียง 24 คนจากกว่า 20,000 คนที่ระบุว่าพวกเขาใช้ผลิตภัณฑ์ให้ความร้อนยาสูบซึ่งเข้ามาในสหราชอาณาจักรตั้งแต่ปลายปี 2016 ในทำนองเดียวกันในการสำรวจ ASH-A มีเพียง 0.6% ที่กล่าวว่าพวกเขาใช้ผลิตภัณฑ์ยาสูบแบบให้ความร้อน และมีเพียง 6% ที่ใช้ยาสูบชนิดนี้ทุกวัน” [24]
PHE คงจะไม่สามารถเพิกเฉยต่อยาสูบประเภทให้ความร้อนในรายงานฉบับต่อไปในปี 2021 ได้ เพราะผลิตภัณฑ์ IQOS มีการเติบโตเร็วกว่าเดิมมากตั้งแต่มีการปรับราคาใหม่ในไตรมาสที่ 3 ปี 2019 (ก่อนที่จะมีการเขียนรายงาน) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากเหตุการณ์นี้นำไปสู่การเริ่มมีคู่แข่งเข้าสู่ตลาด ทาง PHE จะต้องแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติมเกี่ยวกับยาสูบประเภทนี้ (เหมือนกับที่ทางหน่วยงานเริ่มทบทวนตรวจสอบหลักฐานประจำปีสำหรับบุหรี่อิเล็กทรอนิกส์หลังจากที่ผลิตภัณฑ์ประเภทนี้เริ่มติดตลาดในสหราชอาณาจักร)
แผนภาพ 37: การรับรู้อันตรายเกี่ยวกับการสูบไอในหมู่ผู้สูบบุหรี่ในปัจจุบัน ในประเทศอังกฤษ ปี 2014 ถึง 2019 (STS, ข้อมูลที่คำนวณค่าเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักแล้ว)
อันตรายกว่าบุหรี่ธรรมดา อันตรายเท่า ๆ กัน อันตรายน้อยกว่าบุหรี่ธรรมดา ไม่ทราบ
หมายเหตุ: ฐานที่ไม่คำนวณค่าเฉลี่ยถ่วงน้ำหนัก: 2014 = 670, 2015 = 7,961, 2016 = 3,706 ,2017 = 3,410; 2018 = 3,550, 2019 (ถึงพฤศจิกายน) = 2,943 ผู้สูบบุหรี่ปัจจุบันที่ระบุว่าตนสูบบุหรี่ทุกวัน หรือที่ระบุว่าตนสูบบุหรี่แต่ไม่ถึงกับทุกวัน
แผนภาพ 40: การเลิกบุหรี่สำเร็จใน 4 สัปดาห์แบบรายงานด้วยตัวเองในบริการช่วยเหลือเพื่อการเลิกบุหรี่ประเภทเภสัชบำบัด
การบำบัดด้วยยาที่ได้รับอนุญาตและผลิตภัณฑ์สูบไออย่างต่อเนื่อง [2,076]
เฉพาะการสูบไอ [3,515]
การบำบัดด้วยยาที่ได้รับอนุญาตและผลิตภัณฑ์สูบไอพร้อมกัน [6,217]
เฉพาะวาเรนิคลิน [66,863]
เฉพาะบูโพรพิออน [666]
นิโคตินทดแทนชนิดเดียว [50,754]
นิโคตินทดแทนที่ได้รับอนุญาตหลายชนิดพร้อมกัน [75,923]
ใช้นิโคตินทดแทนที่ได้รับอนุญาต และ/หรือ บูโพรพิออน และ/หรือ วาเรนิคลินอย่างต่อเนื่อง
เภสัชบำบัดที่ไม่ทราบ [8,608]
หมายเหตุ: ตัวเลขในวงเล็บหมายถึงยอดรวมจำนวนครั้งในการเลิกบุหรี่
More Stories
แนวทางการลดความเสี่ยงในการควบคุมยาสูบ
FDA เปิดตัวเว็บไซต์ให้ความรู้เพื่อการศึกษาเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้า
รัฐบาลอินโดนีเซียคาดว่าจะเปิดรับผลิตภัณฑ์ยาสูบทางเลือกนอกจากบุหรี่มากขึ้น