
องค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐได้เปิดเผยข้อมูลสำคัญที่ขัดแย้งกับประกาศขององค์การฯเองเกี่ยวกับปัญหาการแพร่ระบาดของใช้บุหรี่ไฟฟ้าในกลุ่มวัยรุ่น จากการสำรวจปี 2017 ของศูนย์ควบคุมโรคเกี่ยวกับการใช้ผลิตภัณฑ์ยาสูบของเยาวชนแสดงให้เห็นว่า มีเพียง 12% ของนักเรียนมัธยมปลายที่ใช้บุหรี่ไฟฟ้าในช่วงเดือนที่ผ่านมา และถึงแม้ว่าจำนวนเยาวชนใช้บุหรี่ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นในปี 2018 เป็นไปตามคาดการณ์ของศูนย์ควบคุมโรค แต่นี่ก็ยังไม่ได้ยืนยันถึงการแพร่ระบาดของบุหรี่ไฟฟ้า
กว่า 70% ของนักเรียนที่ใช้บุหรี่ไฟฟ้าแต่ไม่ได้สูบบุหรี่อยู่ก่อนนั้นเคยใช้บุหรี่ไฟฟ้าประมาณ 5 วันหรือน้อยกว่านั้นในตลอด 30 วัน ซึ่งพฤติกรรมนี้เรียกว่าเป็นการปาร์ตี้หรือการสังสรรค์กัน ไม่ใช่การใช้บุหรี่ไฟฟ้าแบบทั่วไป หรือการใช้เป็นประจำทุกวัน
นอกจากนั้นงานวิจัยอีกตัวขององค์การฯ ก็แสดงให้เห็นว่าการแพร่ระบาดของสุราและกัญชานั้นรุนแรงกว่าบุหรี่ไฟฟ้า
- 18% ของนักเรียนมัธยมปลายมีสภาวะมึนเมาในช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมา
- 22% ของนักเรียนมีการใช้กัญชา (ซึ่งเป็นตัวเลขที่คงที่มาตั้งแต่ปี 1995)
ซึ่งการใช้บุหรี่ไฟฟ้านั้น นอกจากจะบอกได้ว่ามีอันตรายน้อยกว่าบุหรี่ธรรมดาถึง 95% แล้ว บุหรี่ไฟฟ้าก็ไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรต่อสังคมเท่ากับกัญชาและสุรา เพราะวัยรุ่นมักเสียชีวิตจากอุบัติเหตุซึ่งเกี่ยวข้องกับกัญชาและเครื่องดื่มแอลกอฮอล
นอกจากนี้ในขณะที่องค์การอาหารและยาเองชี้เป้าไปที่ร้านค้าปลีก ทั้งที่จริงมีวัยรุ่นอเมริกันที่ใช้บุหรี่ไฟฟ้าจำนวนเล็กน้อยที่หาซื้อบุหรี่ไฟฟ้าด้วยตัวเอง ซึ่งองค์การฯเองก็มีข้อมูลเหล่านี้อยู่ จากรายงาน Population Assessment of Tobacco and Health (PATH) ทำการสำรวจรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการบริโภคยาสูบของวัยรุ่น พบว่ามีวัยรุ่นที่เป็นผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าอยู่ไม่ถึง 10% ที่ซื้อบุหรี่ไฟฟ้าด้วยตนเอง ทั้งนี้คำว่า “ผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้า” ในรายงานนี้มีคำจำกัดความที่กว้างว่า “มีการใช้บุหรี่ไฟฟ้า 1 ครั้ง ในตลอด 30 วันที่ผ่านมา” ซึ่งสรุปได้ว่าวัยรุ่นส่วนมากไม่ซื้อบุหรี่ไฟฟ้าจากร้านค้า และทำผิดกฎหมายโดยยอมจ่ายเงินเพิ่มเล็กน้อยเพื่อที่จะได้บุหรี่ไฟฟ้ามา ซึ่งเป็นแนวทางเดิมๆ คือ การซื้อผ่านเพื่อน
ดังนั้นปัญหาที่แท้จริงคือการอ่านสถิติที่เกินจริงหรือไม่ เช่น ในรายงานขององค์การฯอ้างว่า
- ร้านค้า Walgreen มีการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ยาสูบอย่างผิดกฎหมายให้กับเยาวชนถึง 22% ตั้งแต่ปี 2010 ในขณะที่ร้านค้าอื่นๆ ทำผิดกฎหมายกว่า 15-44%
- เมื่อดูตามกันตามเชิงสถิติแบบ accumulative ตลอด 9 ปีที่ผ่านมา สถิติแสดงให้เห็นว่า ทั่วประเทศมีเพียง 12% ที่ทำผิดกฎหมายในปี 2018 ซึ่งสูงกว่าปี 2015-16 เพียง 1%
- และ Walgreen ก็ทำผิด 9% ซึ่งต่ำกว่าสถิติทั่วประเทศถึง 3%
ขณะที่องค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐกำลังวุ่นวายอยู่กับบุหรี่ไฟฟ้านั้น สถิติจริงๆ แล้ว การซื้อขายแบบผิดกฎหมายมากกว่า 17.5 พันครั้งในปี 2018 อันดับ 1 คือซิการ์ (44%) อันดับ 2 คือบุหรี่ธรรมดา (33%) และอันดับ 3 คือบุหรี่ไฟฟ้า (19%)
มากไปกว่านั้น ในหลายๆรัฐมีการใช้การควบคุมไปแล้ว เช่น การกำหนดอายุผู้ซื้อขั้นต่ำผลิตภัณฑ์ยาสูบจาก 18 ปี เป็น 21 ปี อย่างไรก็ตามกฎหมายในลักษณะนี้ เป็นความพยายามกำจัดตลาดมืดในโรงเรียน ปัจจุบันนี้กว่า 14% ของนักเรียนมัธยมปลายมีอายุมากกว่า 18 ปีแล้ว พวกเขาจึงสามารถซื้อผลิตภัณฑ์บุหรี่ต่างๆ ได้อย่างถูกกฎหมาย และเป็นช่องทางหลักในการจำหน่ายให้กับเด็กนักเรียนคนอื่นๆ ในขณะที่กฎหมายอายุขั้นต่ำ 21 ปี ไม่สามารถหยุดการใช้บุหรี่ไฟฟ้าของวัยรุ่นได้ แต่ก็เป็นการเพิ่มอุปสรรคสำหรับผู้ที่มีอายุต่ำกว่าเกณฑ์ได้ เช่นเดียวกับการดื่มเหล้าของวัยรุ่นที่ยังคงเป็นปัญหาอยู่ แต่กฎหมายเครื่องดื่มแอลกอฮอลกำหนดอายุขั้นต่ำ 21 ปีก็มีบทบาทในการลดอัตราการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอลลงได้กว่าครึ่งหนึ่ง ทั้งนี้ กฎหมายการซื้อผลิตภัณฑ์ยาสูบด้วยการกำหนดอายุขั้นต่ำ 21 ปีนี้ไม่ได้จำกัดการเข้าถึงของผู้สูบบุหรี่ที่เป็นผู้ใหญ่ในการมีทางเลือกที่จะใช้ผลิตภัณฑ์ยาสูบทางเลือกที่ไม่มีควันซึ่งจะช่วยชีวิตของพวกเขา
ผู้เขียน: Brad Rodu ศจ. ทางด้านการแพทย์และดำรงตำแหน่งประธานในการวิจัยการลดอันตรายจากยาสูบที่มหาวิทยาลัย Louisville
More Stories
ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า ควรให้ความสำคัญกับการเข้าถึงบุหรี่ไฟฟ้ามากกว่าการห้ามสูบบุหรี่
FDA เปิดตัวเว็บไซต์ให้ความรู้เพื่อการศึกษาเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้า
รัฐบาลอินโดนีเซียคาดว่าจะเปิดรับผลิตภัณฑ์ยาสูบทางเลือกนอกจากบุหรี่มากขึ้น