
ที่มา : https://www.washingtonpost.com/outlook/2021/11/22/e-cigarettes-nicotine-tax-smoking-vaping-health/
นักเศรษฐศาสตร์มองว่าผลิตภัณฑ์ยาสูบที่มีการเผาไหม้อย่างบุหรี่มวนกับผลิตภัณฑ์บุหรี่ไฟฟ้านั้นเป็นสินค้าที่ทดแทนกันได้ และการกำหนดภาษีในครั้งนี้จะเป็นการผลักดันให้ผู้สูบบุหรี่หันไปหาทางเลือกที่เป็นอันตรายอย่างบุหรี่มวนมากขึ้น
เพราะหนึ่งในเป้าหมายของนโยบายเพื่ออเมริกาที่ดีกว่าหรือ Build Back Better ก็คือการพัฒนาระบบสาธารณสุข แต่ดูเหมือนว่าสิ่งที่รัฐทำจะขัดแย้งกับวัตถุประสงค์ดังกล่าวเพราะพวกเขาตัดสินใจเพิ่มภาษีผลิตภัณฑ์นิโคตินบางชนิดนั่นก็คือ ผลิตภัณฑ์บุหรี่ไฟฟ้าและถุงนิโคติน แต่กลับไม่เพิ่มภาษีผลิตภัณฑ์บุหรี่แบบปกติ
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าการเก็บภาษีกับผลิตภัณฑ์บุหรี่ไฟฟ้าเกิดขึ้นจากความตั้งใจ เห็นได้จากความกังวลของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เกี่ยวกับความนิยมของผลิตภัณฑ์บุหรี่ไฟฟ้าในหมู่วัยรุ่น รวมถึงประณามผู้ผลิตบางรายที่จงใจทำการตลาดเจาะจงไปหาเยาวชน
ดังนั้นจึงคิดว่าการเพิ่มภาษีของผลิตภัณฑ์บุหรี่ไฟฟ้าถึง 25% น่าจะทำให้วัยรุ่นรู้สึกว่าสินค้าแพงเกินไปและลดความสนใจใน ตัวผลิตภัณฑ์ที่ดูเหมือนเป็นผลดีต่อระบบสาธารณสุขในภาพรวม แต่อย่างไรก็ตามหากมองในภาพรวมก็หมายความว่า คนทุกวัยจะกลับไปสูบบุหรี่แบบปกติกันมากขึ้นเพราะมีราคาถูกกว่า ซึ่งถือเป็นเรื่องน่ากังวลเพราะในแต่ละปีจะมีชาวอเมริกันกว่า 480,000 คนที่เสียชีวิตเพราะผลของการสูบบุหรี่โดยตรง
ปัญหาที่เกิดขึ้นกับระบบภาษีในครั้งนี้สามารถอธิบายง่ายๆ โดยการยกตัวอย่างว่าผลิตภัณฑ์บุหรี่ไฟฟ้าและผลิตภัณฑ์บุหรี่แบบปกติ เป็นสินค้าที่ทดแทนกันได้ ดังนั้นหากบุหรี่ธรรมดาแพงกว่า คนก็จะหันไปสูบบุหรี่ไฟฟ้ามากขึ้นและในทางกลับกันหากบุหรี่ไฟฟ้า มีราคาแพงกว่าคนก็จะหันกลับไปสูบบุหรี่แบบปกตินั่นเอง โดยเราสามารถจำแนกกลุ่มเสี่ยงที่อาจหันกลับไปใช้บุหรี่มวนได้เป็น 3 ส่วนด้วยกัน
กลุ่มแรกคือ คนที่เคยใช้ผลิตภัณฑ์บุหรี่ไฟฟ้าเพื่อช่วยเลิกบุหรี่แบบปกติ ซึ่งอาจมีกลุ่มหนึ่งที่ย้อนกลับไปสูบบุหรี่อีกครั้งหากรู้สึกว่าบุหรี่ไฟฟ้าแพงเกินรับไหว
กลุ่มที่สองคือ กลุ่มที่สูบทั้งบุหรี่ไฟฟ้า และบุหรี่แบบปกติ คนกลุ่มนี้น่าจะเลิกใช้บุหรี่ไฟฟ้า และหันมาสูบบุหรี่แบบปกติอย่างถาวร
กลุ่มที่สามคือ กลุ่มที่เริ่มทดลองใช้ผลิตภัณฑ์บุหรี่ไฟฟ้าที่น่าจะเลิกล้มความตั้งใจทันทีที่เห็นราคา
จากเหตุผลข้างต้นทำให้การขึ้นภาษีครั้งนี้เป็นสิ่งที่น่าผิดหวัง เพราะแม้การสูบบุหรี่ไฟฟ้าจะไม่ได้ช่วยลดความเสี่ยงโดยสมบูรณ์ แต่จากการวิจัยของสถาบันวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ และการแพทย์แห่งชาติ (NASEM) ก็ได้ข้อสรุปว่า ผลิตภัณฑ์บุหรี่ไฟฟ้ามีอันตรายต่อร่างกายน้อยกว่าผลิตภัณฑ์บุหรี่ที่มีส่วนผสมของใบยาสูบและบุหรี่แบบปกตินั้นมีสารเคมีกว่า 7,000 ชนิด และมีถึง 70 ชนิดที่อาจทำให้เกิดมะเร็ง ในขณะที่ผลิตภัณฑ์บุหรี่ไฟฟ้ามีสารเคมีอยู่ไม่ถึง 3% ดังนั้นการเปลี่ยนมาใช้บุหรี่ไฟฟ้าจะช่วยลดความเสี่ยง และลดอัตราการเสียชีวิตได้อย่างเป็นรูปธรรมจริงๆ
มีการสำรวจจากศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐอเมริกา (CDC) ในปี 2018 ซึ่งพบว่าคนที่ใช้ผลิตภัณฑ์บุหรี่ไฟฟ้า มีอัตราการเลิกสูบบุหรี่แบบปกติได้ถึง 15.1% มากกว่าการใช้สิ่งทดแทนอื่นๆ
มีตัวอย่างที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจนคือที่รัฐมินนิโซตาซึ่งเป็นรัฐแรกที่ตัดสินใจเพิ่มภาษีของผลิตภัณฑ์บุหรี่ไฟฟ้าถึง 17% ซึ่งส่งผลให้ประชาชนจำนวนมากหันกลับไปใช้บุหรี่แบบปกติและมีอัตราการเลิกบุหรี่ลดน้อยลงอย่างมีนัยสำคัญ อย่างไรก็ตามยังมีคนอีกมากที่เข้าใจแบบผิดๆ ว่าผลิตภัณฑ์บุหรี่ไฟฟ้ามีความอันตรายเท่ากับหรือมากกว่าบุหรี่แบบปกติ ซึ่งเหตุผลนี้เป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญที่ทำให้คนไม่เลือกใช้ผลิตภัณฑ์บุหรี่ไฟฟ้าและการเพิ่มภาษีก็จะยิ่งทำให้จำนวน ผู้ใช้งานลดน้อยลงไปอีก
ดังนั้นการลดภาษีผลิตภัณฑ์บุหรี่ไฟฟ้าและเพิ่มภาษีของบุหรี่แบบปกติจึงเป็นทางออกที่ดีที่สุด โดยสถิติที่สำคัญคือในชาวอเมริกัน 7 คน จะมีคนที่สูบบุหรี่อยู่หนึ่งคนและมีกว่าครึ่งที่จบลงด้วยการเสียชีวิต สุดท้ายแล้วการทำให้ผลิตภัณฑ์บุหรี่ไฟฟ้ามีราคาสูง ขึ้นจึงยิ่งเพิ่มความเสี่ยงให้กับประชาชนซึ่งไม่น่าจะเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของนโยบาย
More Stories
แนวทางการลดความเสี่ยงในการควบคุมยาสูบ
นิโคตินคืออะไร กับผลกระทบต่อสุขภาพอย่างไร
การเปลี่ยนแปลงตลาดบุหรี่ไฟฟ้าในสหรัฐอเมริกา ทำให้ส่วนแบ่งทางการตลาดของ Juul และ Vuse ลดลง