
มิทัน อลัมเกียร์
เผยแพร่เมื่อ 20:15 น. วันที่ 13 พฤศจิกายน 2563
การเรียกร้องให้มีการห้ามบุหรี่ไฟฟ้าในช่วงที่ผ่านมานี้ดูจะก่อให้เกิดความเข้าใจผิดและนับเป็นความล้มเหลวในการมองเห็นคุณค่าของบทบาทของหลักการลดอันตรายในการต่อสู้กับการสูบบุหรี่
สิ่งแรกที่ผู้กำหนดนโยบายควรทราบเกี่ยวกับการใช้บุหรี่ไฟฟ้าก็คือ ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ไม่ได้มีไว้ให้ผู้ที่ไม่สูบบุหรี่ใช้ แต่มีไว้ให้เฉพาะผู้สูบบุหรี่ที่ต้องการบุหรี่และเลือกวิถีชีวิตที่ดีต่อสุขภาพมากกว่า และมีหลักฐานอะไรไหมที่สนับสนุนว่าการใช้บุหรี่ไฟฟ้าเป็นอันตรายน้อยกว่าบุหรี่ทั่วไป
ดูเหมือนว่าในบังกลาเทศนั้นนักวิ่งเต้นที่สนับสนุนการต่อต้านยาสูบไม่ได้ตรวจสอบข้อมูลที่เกี่ยวข้องใดเลยก่อนที่จะประกาศสงครามกับการใช้บุหรี่ไฟฟ้าและเรียกร้องให้มีการสั่งห้าม การทำเช่นนั้นเท่ากับว่าพวกเขาไม่ได้ช่วยวาระโดยรวมเกี่ยวกับการลดภาระที่เกี่ยวข้องกับยาสูบในบังกลาเทศ แต่พวกเขากำลังทำร้ายต้นเหตุ เหตุผลที่กล่าวเช่นนั้นมีดังต่อไปนี้
แม้แค่การพิจารณาข้อมูลคร่าว ๆ เกี่ยวกับการใช้บุหรี่ไฟฟ้าก็ยังแสดงให้เห็นว่าการใช้บุหรี่ไฟฟ้าได้กลายเป็นเครื่องมือในการเลิกบุหรี่อย่างหนึ่งที่มีประสิทธิภาพที่สุดในโลก ซึ่งได้รับการยอมรับมากขึ้นเรื่อย ๆ ว่าเป็นวิธีแก้ปัญหาที่ประสบความสำเร็จอย่างมากในการช่วยให้ผู้สูบบุหรี่เลิกนิสัยสูบบุหรี่ที่คุกคามชีวิตของตน
จากการตรวจสอบพิจารณาที่ก้าวล้ำของสาธารณสุขอังกฤษ ซึ่งเป็นหน่วยงานด้านสาธารณสุขที่มีอำนาจกำกับดูแลมากที่สุดของอังกฤษพบว่าการสูบบุหรี่เป็นอันตรายน้อยกว่าการสูบบุหรี่ประมาณ 95% โดยสาธารณสุขอังกฤษเรียกการค้นพบนี้ว่าเป็น “การตรวจสอบพิจารณาครั้งสำคัญ”
ด้วยเหตุนี้ระบบบริการสุขภาพแห่งชาติหรือ NHS ของสหราชอาณาจักร ซึ่งน่าจะเป็นระบบสุขภาพที่ดีที่สุดในโลกจึงแนะนำให้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าเป็นเครื่องมือในการเลิกบุหรี่ และขณะนี้โรงพยาบาลที่อยู่ในสังกัด NHS ก็มีร้านค้าในสถานพยาบาลที่จำหน่ายผลิตภัณฑ์บุหรี่ไฟฟ้า
เพราะเหตุใดข้อนี้จึงมีความสำคัญล่ะ นอกจากเหตุผลที่ชัดเจนและโน้มน้าวใจอย่างยิ่งที่ระบบสุขภาพที่ทันสมัยที่สุดในโลกนำบุหรี่ไฟฟ้ามาใช้เป็นเครื่องมือในการเลิกบุหรี่แล้ว ความสำคัญในการทำความเข้าใจว่าการใช้บุหรี่ไฟฟ้ามีบทบาทอย่างไรถือเป็นเรื่องที่จำอย่างยิ่งสำหรับการควบคุมการใช้ยาสูบในบังกลาเทศ เพราะอะไรนะหรือ ก็เพราะมันใช้ได้ผลในชีวิตจริง
การทดลองทางคลินิกที่สำคัญในสหราชอาณาจักร ซึ่งได้รับการเผยแพร่ในปี 2562 พบว่าผู้ที่ใช้บุหรี่ไฟฟ้าเพื่อเลิกบุหรี่มีแนวโน้มที่จะประสบความสำเร็จมากกว่าคนที่ใช้ผลิตภัณฑ์ทดแทนนิโคตินอื่น ๆ เช่น แผ่นแปะหรือหมากฝรั่ง ถึงสองเท่า การดำเนินการทดลองทางคลินิกเป็นกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ในส่วนของวิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ใช้ตัดสินความปลอดภัยและประสิทธิผลของยา อุปกรณ์ ผลิตภัณฑ์เพื่อการวินิจฉัย และสูตรการรักษาที่มีไว้เพื่อการใช้งานกับมนุษย์
จะไม่ดีหรือหากอยู่มาวันหนึ่งคนที่สูบบุหรี่ทุกคนตื่นขึ้นมาแล้วก็เลิกบุหรี่ได้ ใคร ๆ ก็ทราบดีว่าการสูบบุหรี่นั้นเป็นอันตรายต่อสุขภาพมาก ข้อสำคัญคือต้องมีการจัดทำกลยุทธ์ที่แข็งแกร่งเพื่อให้แน่ใจว่ามีการใช้บุหรี่ไฟฟ้าอย่างเหมาะสมและปลอดภัยยิ่งขึ้นเพื่อให้เราเป็นประเทศที่ประชาชนมีสุขภาพดีขึ้น การบังคับให้อดีตผู้สูบบุหรี่เลิกบุหรี่ไฟฟ้าด้วยการห้ามและผลักดันให้พวกเขากลับไปสูบบุหรี่เหมือนเดิมนั้นคงไม่ใช่นโยบายที่สมเหตุสมผล
การใช้บุหรี่ไฟฟ้านั้นไม่ได้ไร้ความเสี่ยงโดยสิ้นเชิง NHS กล่าวในเว็บไซต์ และกล่าวต่อว่า “ …แต่ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ก็มีความเสี่ยงเป็นเศษเสี้ยวเล็ก ๆ ของบุหรี่ การเลิกบุหรี่ด้วยบุหรี่ไฟฟ้าจะได้ผลดีอย่างยิ่งเมื่อประกอบกับความช่วยเหลือจากการเข้าพบผู้เชี่ยวชาญ”
แน่นอนว่าผู้สนับสนุนหลักการลดอันตรายไม่ได้อ้างว่าบุหรี่ไฟฟ้าไม่มีความเสี่ยง แต่การใช้สิ่งที่มี “ความเสี่ยงเพียงแค่เศษเสี้ยวเล็ก ๆ ของบุหรี่” ก็สมเหตุผลดีมิใช่หรือ กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ “มีอันตรายน้อยกว่าถึง 95%” เมื่อเทียบกับบุหรี่ยาสูบที่ก่อให้เกิดมะเร็ง ดังที่สาธารณสุขอังกฤษระบุ
การใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ในการแก้ปัญหาย่อมสร้างผลลัพธ์ แค่ความปรารถนาอย่างเดียวนั้นไม่สามารถสร้างผลลัพธ์ ในอังกฤษมีคนจำนวน 50,000 ถึง 70,000 คน เลิกบุหรี่ในหนึ่งปีโดยใช้บุหรี่ไฟฟ้า ดังที่พบในการศึกษาที่จัดทำในปี 2562 การศึกษาวิจัยซึ่งตีพิมพ์ในวารสารวิทยาศาสตร์ชื่อ ‘Addiction’ พบว่าผู้สูบบุหรี่ 50,700 ถึง 69,930 คน ในอังกฤษเลิกบุหรี่ในปี 2560 ผ่านการใช้บุหรี่ไฟฟ้า ‘Addiction’ เป็นวารสารที่มีการทบทวนโดยผู้เชี่ยวชาญระดับเดียวกันซึ่งได้รับการยอมรับมากที่สุดในโลกในหัวข้อเกี่ยวกับการใช้สารเสพติด
ดังนั้นคำถามมีอยู่ว่า เมื่อผู้สนับสนุนการสั่งห้ามบุหรี่ไฟฟ้าเอาแต่เพิกเฉยต่อหลักฐานและแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดเกี่ยวกับการใช้บุหรี่ไฟฟ้า นั่นหมายความว่าพวกเขากำลังช่วยลดภาระที่เกี่ยวข้องกับยาสูบในบังกลาเทศหรือไม่ คนที่มีเหตุผลย่อมตัดสินเองได้
ถือเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่งที่ผู้กำหนดนโยบายที่จะต้องมีเหตุผลในการทำความเข้าใจปัญหา และช่วยให้ประเทศชาตินำยุทธศาสตร์ที่มีอยู่แล้วและได้ผลอย่างชัดเจนมาใช้ ยิ่งไปกว่านั้น การสั่งห้ามบุหรี่ไฟฟ้ายังถือเป็นการอำนวยความสะดวกให้ตลาดมืดและผลักดันให้ผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าไปซื้อสินค้าที่ไม่ปลอดภัย ซึ่งอาจนำไปสู่ความเสี่ยงต่อสุขภาพเพิ่มเติมได้
ดร. มิทัน อลัมเกียร์ เป็นศาสตราจารย์, หัวหน้าหัวหน้าแผนกเวชศาสตร์ชุมชน ประจำวิทยาลัยการแพทย์เอนามในกรุงธากา
Why banning vaping will be unwise https://www.dhakatribune.com/feature/2020/11/13/why-banning-vaping-will-be-unwise (nov2)
More Stories
ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า ควรให้ความสำคัญกับการเข้าถึงบุหรี่ไฟฟ้ามากกว่าการห้ามสูบบุหรี่
แนวทางการลดความเสี่ยงในการควบคุมยาสูบ
FDA เปิดตัวเว็บไซต์ให้ความรู้เพื่อการศึกษาเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้า