ทำความรู้จักกันใหม่อีกสักครั้งกับ ‘นิโคติน’

• นิโคติน: ผู้คนยังเข้าใจผิด คิดว่าเป็นสารก่อมะเร็งที่เกิดจากบุหรี่
• ผู้สูบบุหรี่มวนเองมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับนิโคตินมากกว่าผู้ที่ไม่สูบบุหรี่ด้วยซ้ำ
• มองให้นิโคตินให้ครบทุกด้าน
• สถานการณ์ในปัจจุบันของนิโคติน

นิโคติน: ผู้คนยังเข้าใจผิด คิดว่าเป็นสารก่อมะเร็งที่เกิดจากบุหรี่

งานวิจัยหลายชิ้นในปัจจุบันยังชี้ให้เห็นว่าผู้คนส่วนใหญ่ยังมีความใจที่ผิดๆ เกี่ยวกับนิโคติน คิดว่านิโคตินจากบุหรี่ทำให้เกิดโรคมะเร็ง สำนักข่าว The Daily Caller อ้างถึงการรายงานข่าวจาก Vaping Post ที่พูดถึงการเปิดเผยในงานประชุมประจำปีของ Society for Researchในหัวข้อนิโคตินและยาสูบที่จัดขึ้นในรัฐ Maryland เผยว่าผู้ใหญ่กว่า 53% มีความเข้าใจผิดว่านิโคตินคือตัวร้ายทำให้เกิดมะเร็ง

ผู้สูบบุหรี่มวนเองมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับนิโคตินมากกว่าผู้ที่ไม่สูบบุหรี่ด้วยซ้ำ

ผลสำรวจของ Pinney Associates ซึ่งมีผลสอดคล้องกัน คือ มีเพียง 14.6% ของผู้ที่ไม่สูบบุหรี่เท่านั้นที่กล่าวว่านิโคตินเป็นสาเหตุของโรคมะเร็ง ในขณะที่ผู้สูบบุหรี่ 52.5% คิดว่านิโคตินเป็นสาเหตุของโรคมะเร็ง  ผลการสำรวจนี้สอดคล้องกับการศึกษาก่อนหน้านี้ที่แสดงว่าผู้สูบบุหรี่ส่วนใหญ่ยังคงเชื่อว่านิโคตินเป็นสาเหตุของโรคมะเร็งปอดและมะเร็งในช่องปาก ทั้งที่จริงแล้วนั้นสารก่อมะเร็งและสารพิษอื่นๆ อยู่ในควันบุหรี่ที่เกิดจากการเผาไหม้ ด้วยเหตุผลนี้จึงทำให้เกิดผลิตภัณฑ์ทางเลือกอื่น ๆ เกิดขึ้น เช่น บุหรี่ไฟฟ้า ผลิตภัณฑ์ยาสูบไร้ควัน

มองให้นิโคตินให้ครบทุกด้าน

นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่านิโคตินมีคุณสมบัติคล้ายกาแฟ คือช่วยกระตุ้นร่างกายซึ่งเสริมทักษะกล้ามเนื้อและทำให้ผู้ใช้นั้นตื่นตัวมากยิ่งขึ้น การวิจัยก่อนหน้านี้พบประโยชน์หลายอย่างของนิโคตินที่มีต่อสภาวะสุขภาพที่ร้ายแรง รวมถึงมีผลในเชิงบวกต่อโรคพาร์คินสันและโรคอัลไซเมอร์ นอกจากนี้ยังมีหลักฐานใหม่ที่บ่งชี้ว่านิโคตินมีส่วนช่วยรักษาโรคความดันโลหิตสูงโดยการลดระดับความดันโลหิตในระยะยาว

สถานการณ์ในปัจจุบันของนิโคติน

ผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขกล่าวว่าข้อมูลที่ไม่ถูกต้องเกี่ยวกับนิโคตินอาจทำให้ผู้สูบบุหรี่ที่ต้องการเลิกสูบไม่กล้าหันมาลองใช้ผลิตภัณฑ์ช่วยเลิกสูบบุหรี่ที่ยังมีนิโคติน เช่น บุหรี่ไฟฟ้า ดังนั้นผู้สูบบุหรี่จึงสมควรได้รับรู้ข้อมูลที่ถูกต้องจากหน่วยงานสาธารณสุขและนักวิทยาศาสตร์

อ่านตัวเต็มที่  The Daily Caller ( 8 มีนาคม 2018)